สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งพระปณิธานจะแบ่งเบาพระราชภารกิจของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อย่างเต็มพระกำลังความสามารถ หนึ่งในพระกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติอยู่เป็นนิจคืองานด้านสังคมสงเคราะห์ อาทิ ทรงเยี่ยมราษฎรและสถานสงเคราะห์คนชราในจังหวัดต่างๆ เป็นต้น อีกทั้งทรงปฏิบัติพระกรุณาโปรดพระราชทานเครื่องอุปโภคจำเป็นแก่ประชาชนในท้องถิ่นไกลอย่างสม่ำเสมอ ดังปรากฏในหนังสือ ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า ความว่า
“ยี่สิบกว่าปีก่อน เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ เสด็จออกจากสยามไปยุโรป ทรงจากบ้านเมืองไปอย่างเด็กหญิงตัวน้อย ๆ เป็นพระญาติชั้นผู้เยาว์ที่มีพระประยูรญาติอาวุโสอยู่มากมายหลายพระองค์
หลังจากนิราศร้างนานถึง ๒๑ ปี ก็เสด็จกลับมาประทับอย่างถาวรในเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ ทรงพบว่าเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่ทรงเคารพนับถือ ล้วนแต่เสด็จล่วงลับกันไปเป็นจำนวนมาก เหลืออยู่น้อยพระองค์ พระองค์เองในฐานะพระราชภคินี ก็ทรงเลื่อนขึ้นเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ กลายเป็นเจ้านายอาวุโสของแผ่นดินไปโดยปริยาย
…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าน้อย ๆ ถึง ๔ พระองค์แล้วในเวลานั้น …แต่ทูลกระหม่อมทุกพระองค์ก็ยังทรงพระเยาว์มาก ยังไม่อาจทรงช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจของสมเด็จพระบรมชนกชนนี ซึ่งนับวันก็จะเพิ่มพูนขึ้น โดยเฉพาะการเสด็จฯ เยี่ยมทุกข์สุขอย่างใกล้ชิดประชาชนในถิ่นไกลกันดาร
…สมเด็จเจ้าฟ้าฯ ทรงตระหนักว่า ทั้งพระชนมายุและพระสถานะทำให้ทรงเลื่อนขึ้นเป็นพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่เต็มพระองค์แล้วในรัชกาลนี้ สิ่งที่ทรงคำนึงถึงเป็นอันดับแรก คือแบ่งเบาพระราชภารกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเต็มความสามารถ
เวลานั้น ทูลกระหม่อมทั้ง ๔ พระองค์ยังทรงพระเยาว์เกินกว่าจะเสด็จไปทรงเป็นประธานในงานต่าง ๆ โดยลำพังพระองค์ได้ ส่วนพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ก็มีพระราชกรณียกิจมากมายล้นพระหัตถ์ ประชาชนในยุคนั้นจึงได้เห็นภาพข่าวงานการกุศลต่าง ๆ …ซึ่งมีสมเด็จเจ้าฟ้าฯ และพระชนนี เสด็จไปทรงเป็นประธานตามคำกราบทูลเชิญเรียกได้ว่าแทบจะวันเว้นวัน…”